หลักสำคัญในเรื่องการใช้กฏหมายคือการนำกฏหมายมาปรับเข้ากับข้อเท็จจริงที่มีกรณีพิพาท
หรือมีกรณีต้องใช้กฏหมายนั้นๆ การปรับบทกฏหมายก็ต้องปรับตามตัวอักษรของกฏหมาย
1.1 การตีความกฏหมายจะเกิดขึ้น
ก็เเต่เฉพาะกรณีที่บัญญัติของกฏหมายมีข้อแคลือบแคลงสงสัย มีความหมายหลายนัย
จะปรับบทบัญญัติของกฏหมายตามตัวอักษรไม่ได้จึงจำเป็นต้องหาเจตนารมณ์อันแท้จริงของกฏหมายนั้นว่ามีประการใด
หรืออาจกล่าวได้อีกทางหนึ่งว่า
ถ้าตัวบทกฏหมายชัดเจนอยู่แล้วก็ไม่ต้องตีความกฏหมายนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๖๒/๒๕๐๘ โจทก์ฟ้องเรียกค่าโดยสารเครื่องบิน
อายุความเรียกร้องมีกำหนด ๑๐ปี
ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๑๖๕(๓)(เดิม) คดีนี้
ศาลฎีกาเห้นว่ามีบทกฏหมายที่ยกมาปรับคดีได้ และระบุไว้ชัดเจนแล้ว
ไม่จำต้องวินิจฉัยตามครองจารีตประเพณี หรือมุ่งตามของบทบัญัญัติของกฏหมาย[๒]
1.2 ในกรณีที่ข้อความในบทบัญญัติแห่งกฎหมายเคลือบคลุม
จะต้องมีการตีความก่อนที่จะปรับตัวบทกฏหมายเข้ากับปัญหาที่ต้องวินิจฉัยนั้น
พระยาเทพวิทูร(บุญช่วย วนิกกุล)
ได้กล่าวไว้ในหนังสือ คำอธิบายประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ๑-๒มาตรา ๑-๒๔๐
ตอนหนึ่งว่า:
“….การแปลหรือตีความในกฏหมายนั้นมีหลักในชั้นต้นว่า
จะต้องแปลถ้อยคำ และเนื้อความที่ปรากฏในกฏหมายตามที่เข้าใจกันตามความหมายธรรมดา
เว้นเเต่ คำที่ใช้ในทางวิชาการ ก็ต้องแปลตามวิาการนั้นๆ
และถ้าคำใดอาจแปลได้ตามความหมายธรรมดาอย่างหนึ่ง เเละทางวิชาการอย่างหนึ่ง
เป้นหน้าที่ของฝ่ายที่อ้างเป้นคำใช้ทางวิชาการต้องแสดงให้ปรากฏ ในกรณีที่ข้อเคลือบเเคลงสงสัย
มีเเนวทางที่จะช่วยในการแปลหรือตีความได้หลายประการ เเต่ที่สำคัญคือ
พิจรณาเทียบข้อความอื่นในมาตราเดียกัน
หรือ ในมาตราอื่น บทอื่นในกฏหมายเดียวกัน หรือในกฏหมายอื่นในเรื่องเดียกัน
หรือคล้ายคลึงกัน
ดูความประสงค์ใการออกกฏหมายนั้น
ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงหลักกฏหมาย
หรือบทกฏหมายที่เป็นอยู่ในขณะที่ออกกฏหมายอันเป็นปัญหานั้น หรือไม่
ถ้ามีข้อสงสัยเเล้วสันนิษฐานว่าไม่ประสงค์จะเปลี่ยนกฏหมายเดิม
พิจรณาเรื่องที่ดำเนินมาในร่างกฎหมายนั้น
เช่น ดูร่างเดิม รายงาน เเละร่างที่แก้ไขมาเป้นลำดับ ประกอบ
ด้วยข้อโต้เถียงในการแก้ไขร่างนั้นๆ….”[๓]
1.3 สำหรับความหมายของคำธรรมดาที่ใช้ในกฏหมายนั้น
ศาฎีกาถือตามความหมายที่ปรากฏในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่๗๙/๒๕๐๙ พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา ๔๐
บัญญัติหามมิให้ผู้ใดนำไม้หรือของป่า ผ่านด่านป่าไม้
ในระหว่างเวลาตั้งเเต่พระอาทิตย์ตกถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น เว้นเเต่จะได้รับอนุญาต
ฯลฯ แต่พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ไม่มีวิเคราะห์ศัพท์คำว่าผ่าน
ก้ต้องตีความตามความหายธรรมดา (ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน) ซึ่งหมายถึง
กิริยาที่ล่วงพ้นไป ตัดไป ลัดไป หรือข้ามไป
ฉะนั้นเมื่อคดีได้ความว่าจำเลยเพียงเเต่นำไม้เข้ามาในเขตด่านป่าไม้
จะเเปลว่าจำเลยได้นำไม้ผ่านป่าไม้ไม่ได้ จะเลยไม่มีความผิดตามมาตรา ๔๑
1.4 คำที่มีความหายจำเพาะ( a term
of art หรือ a word of art
) คำใดมีกฏหมายบัญญัติ ไว่ว่ามีความหมายอย่างไร
ในการใช้หรือการตีความกฏหมายฉบับนั้นโดยเฉพาะย่อมจะต้องเป็นไปตามนั้นเเม่จะขัดต่อความหมายยธรรมดาหรือฝืนความรู้สึกของคนทั้วไปก็ตาม
“ในพระราชบัญญัติอากรค่าน้ำ
มีวิเคราะห์ไว้ว่า คำว่า “สัตว์น้ำ”ให้หมายความถึงบัวด้วย เพราะฉะนั้น
ตามกฏหมาที่ว่า
จะต้อถือว่าบัวน้ำนั้นเเหละปลาความมุ่งหมายของกฏหมายมีว่า
การใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำบางอย่างเป็นการทำลายพันธุ์ปลามากเกินสมควร
ทั้งนี้พิเคราะห์ดูตามลักษณะเครื่องมือที่ใช้ ฤดูกาลและสถานที่ที่บุคคลทำการจับสัตว์น้ำ
ผลจึงเป็นว่า การนำเเหบางชนิดไปทอดปลา เเต่ไปทอดเอาบัวเข้า ต้องมีความผิดตามกฏหมาย
เพราะเหตุว่าบัวเป็นที่อาศัยของปลา การทำลายบัว
จึงถือเท่ากับเป็นการทำลายปลาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย” [๔]
ตามที่ศาสตราจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
ให้คำอธิบายนี้ ย่อมเห้นได้ชัดว่ากฏหมายมีความประสงค์จะคุ้มครองบัว
เช่นเดียวกับสัตว์น้ำ
เเต่เเทนที่จะระบุเรื่องบัวเป็นเอกเทศ เพื่อความสะดวก
ก็ระบุไว้ในบทนิยามคำว่าสัตว์น้ำ ให้รวมถึงบัว ด้วย เรียกคำประเภทนี้ว่า
“a term of art” ยิ่งกว่านั้น แม้กฏหมายมิได้บัญญัติไว้แจ้งชัดในบทนิยามดังกล่าว
ในบางคดี ศาลก็ต้องตีความเหมือนกันว่า เรื่องใดอยู่ในข่ายจองคำนิยามศัพท์นั้น[๕]
2. การตีความกฎหมายอาญา
การตีความกฎหมายอาญานั้น
มีหลักเกณฑ์แตกต่างไปจากการตีความกฎหมายแพ่งจึงจำเป็นต้องพิจารณาดังต่อไปนี้:
โดยที่กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่กำหนดความผิดและวางโทษไว้ และการลงโทษทางอาญาเป็นการตัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลและสร้างความทุกข์ทรมานให้ผู้ต้องรับโทษอาญาโดยแท้
การตีความกฎหมายที่มีโทษทางอาญา จึงแตกต่างไปจากการตีความกฎหมายอื่น กล่าวคือ
ต้องตีความโดยเคร่งครัดตามตัวอักษรในบทกฎหมายเท่านั้น
ว่าจำเลยได้กระทำการซึ่งกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดอาญาหรือไม่
ถ้าหากการกระทำของจำเลยไม่ตรงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายตามตัวอักษร
จะถือว่าจำเลยกระทำความผิดอาญามิได้
ศาสตราจารย์พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ กล่าวไว้ในประเด็นนี้ว่า:
“การแปลกฎหมายอาญามีหลักต่างกว่ากฎหมายแพ่ง
เช่นเทียบกับบทกฎหมายใกล้เคียงไม่ได้ อาทิตัวบทกล่าวว่า
ผู้ใดกระทำโดยเจตนาให้ผู้หนึ่งผู้ใดถึงแก่ความตาย ท่านว่ามันฆ่าคนโดยเจตนา
แต่ถ้าฆ่าตัวเองจะนำบทนี้มาลงโทษไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติโดยตรงว่าผิด
ทั้งนี้อย่าลืมว่าเป็นคนละเรื่องกับการตีความของศาล ไม่มีอะไรห้ามมิให้ศาลตีความ
หลักการตีความ ย่อมให้ได้ทั่วไปทั้งทางแพ่งและทางอาญา
ทางอาญาการตีความต้องใช้หลักเคร่งครัดไม่ใช่ extensive ต้องตีความโดยเด็ดขาด
ไม่ใช่ขยายความโดยหลักนี้ ศาลมีอำนาจจะค้นหาเจตนาของผู้ร่างว่า
ผู้ร่างมีความมุ่งหมายอย่างไร แต่ศาลจะตีความให้ฝ่าฝืนลายลักษณ์อักษรที่เขียนไว้ไม่ได้
ต้องตีความเพียงภายในลายลีกษณ์อักษร…” [๖]
การตีความกฎหมายที่มีโทษทางอาญาโดยเคร่งครัดนี้
มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้คือ:
2.1 การตีความกฎหมายอาญา
จะขยายความในบทบัญญัติเพื่อลงโทษหรือเพิ่มโทษให้หนักขึ้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๑๕/๒๕๐๓
ปลอมดวงตรานกวายุภักษ์ อันเป็นดวงตราราชการกรมสรรพสามิตลงในแม่พิมพ์ไพ่
และใช้แม่พิมพ์นั้นพิมพ์ไพ่ผ่องจีน และไพ่สี่สีปลอม
โดยเจตนาหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นไพ่ที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น
เมื่อดวงตรานกวายุภักษ์นั้นเป็นเพียงเครื่องหมายในการค้าของกรมสรรพสามิตผลิตขึ้น
การใช้ดวงตรานกวายุภักษ์บนไพ่นั้น
จึงหาใช่เป็นการใช้ดวงตราตามความหมายของกฎหมายไม่
การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงเจตนาทำไพ่ปลอมเท่านั้น (วินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๐๑๐/๒๔๙๔)
2.2 การตีความกฎหมายอาญาให้มีผลย้อนหลัง เป็นโทษแก่บุคคลใดไม่ได้
บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษที่จะลวแก่ผู้กระทำความผิดนั้นต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย.[๗]
สั่งศาลฎีกาที่ ๙๒๐/๒๕๓๖
ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยของชาติ ฉบับที่ ๒๖ (ประกาศ ร.ส.ช. ฉบับที่ ๒๖)
เป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญาที่ใช้บังคับย้อนหลังในเรื่องของการมีทรัพย์สินร่ำรวยผิดปกติผิดวิสัยของผู้ประกอบอาชีพโดยสุจริต
ขัดหรือแย้งต่อธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรพุทธศักราช ๒๕๓๔ จึงใช้บังคับไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๕/๒๕๐๑ จำเลยทำผิดขณะใช้กฎหมายเก่า
แต่ในขณะพิจารณาคดี ได้มีการใช้กฎหมายใหม่แล้ว
และกฎหมายใหม่กำหนดโทษขั้นสูงเบากว่ากฎหมายเก่า ศาลใช้กฎหมายใหม่ลงโทษ
2.4 เมื่อกฎหมายไม่ระบุไว้ชัดเจน
จะตีความให้เป็นโทษแก่จำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๓๘/๒๕๐๔ ปัญหาที่ว่า
“การที่ศาลจะปรับจำเลยเป็นรายวันอีกนั้นจะต้องนับแต่วันใด”
ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๓
มีความในวรรคท้ายตอนกำหนดโทษว่า
“ฝ่าฝืนตามมาตรานี้ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
และปรับอีกไม่เกินวันละห้าสิบบาท จนกว่าจะได้ปฎิบัติให้ถูกต้อง”
ตามพระราชบัญญัตินี้ไม่มีที่ใดระบุไว้ชัดแจ้งว่า
“จนกว่าจะได้ปฎิบัติให้ถูกต้องนี้” ให้เริ่มนับตั้งแต่วันใดจึงจะแปลว่า
กฎหมายประสงค์จะให้นับแต่วันที่จำเลยถูกจับ
หรือเจ้าพนักงานสอบสวนจำเลยตามฟ้องโจทก์ ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นวันที่ความผิดปรากฎ
ดังฎีกาโจทก์ หาได้ไม่ เมื่อกฎหมายไม่ได้ระบุ
หรือมีข้อความชัดเจนให้ถือเอาวันที่จำเลยถูกจับ หรือวันที่เจ้าพนักงานสอบสวนเริ่มนับสำหรับปรับจำเลยเป็นรายวันเช่นนี้แล้ว
ศาลจะแปลให้เป็นโทษแก่จำเลยไม่ได้ นอกจากนี้
การที่จะฟังว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ก็ด้วยศาลเป็นผู้ชี้ขาด
จะถือเอาวันที่เข้าพนักงานสอบสวนจำเลยว่า เป็นวันที่จำเลยกระทำผิดแล้วไม่ได้ฉะนั้น
ข้อความที่ว่า “จนกว่าจะได้ปฎิบัติให้ถูกต้องนี้”
จึงหมายความให้เริ่มนับแต่วันที่ศาลได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแล้วเป็นต้อนไป.
3. การตีความกฏหมายเเพ่ง
กฏหมายเเพ่ง เป้นกฏหมายที่ว่าด้วย สิทธิ หน้าที่
เเละความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อเอกชนไม่เหมือนกับกฏหมายอาญา
ซึ่งว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน โดยเอกชนมีหน้าที่ต้องเคารพต่อบทบัญญัติเเห่งกฏหมาย
เเละในขณะเดียวกัน กฏหมายอาญาก็มีบทกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติ
แห่งกฏหมายนั้นด้วย ดังนั้น
การตีความกฏหมายแพ่งจึงไม่เคร่งครัดเท่ากับการตีความกฏหมายอาญา
จึงมีประมวลกกหมายเเพ่งเเละพาณิชย์ มาตรา๔ มากำหนดการตีความในการอุดช่องว่างของกฏหมายไว้ด้วย
3.1 กฏหมายนั้น ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใดๆ เเห่งกฏหมายตามตัวอักษร หรือตามความมุ่งหมายขอบทบัญญัตินั้นๆ
3.1 กฏหมายนั้น ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใดๆ เเห่งกฏหมายตามตัวอักษร หรือตามความมุ่งหมายขอบทบัญญัตินั้นๆ
3.2 ในกรณีไม่มีบทบัญญัติ
เเห่งกฏหมายบังคับเเก้คดี ก็จะต้องวินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่๘๔๕/๒๔๙๗
ธรรมเนียมประเพณีวงการค้า
เกี่ยวกับการค้าเกี่ยวกับการขนส่งที่ทราบกันอยุ่ระหว่างคู้สัญญานั้นเเล้วว่า
ถ้าเสียเวลา ก็มีการคิดค่าเสียเวลาให้เเก่กัน ดังนี้
เเม่ไม่ได้เขียนระบุไว้เป็นอย่างอื่น ประเพณีนั้นย่อมยังคับแก่กันได้
เท่ากันเป็นการตกลงโดยปริยาย
3.3 ถ้าไม่มีจารีตประเพณี
ต้องวินิจฉัยคดีอาศัยเทียบ บทกฏหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่๒๖๔๓/๒๕๑๔ คำว่า “ผลิตภัณฑ์อาหาร” ตามบัญชีที่๑ หมวด๑(๔)
ท้ายพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่
๒๑) พ.ศ.๒๕๐๙ ไม่มีบทนิยามให้ความหมายโดยเฉพาะ จึงต้องค้นหาความหมายโดยเปรียบเทียบ
จาก บทบัญญัติ ที่ใกล้เคียงคดีอย่างยิ่ง คือ จากมาตราอื่นๆ ขอประมวลนั้นเอง
3.4 ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง
ให้วินิจฉัยตามหลักกฏหมายทั้วไป
หลักกฏหมายทั้งไปได้เเก่หลักสำคัญซึ่งต้องใช้ในการวินิจฉัยปัญหาต่างๆ
ในกฏหมาย หลักสำคัญเช่นว่านั้นไม่มีบัญญัติไว้ชัดเเจ้งในบัญญัติเเห่กฏหมาย
เเต่ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลฎีกาบ้าง ตามสุภาษิตกฏหมายบ้าง ตำรากฎหมายบ้าง.
Reference
_______________________
- [1] ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร, อภิชน จันทรเสน, คำเเนะนำนักศึกษากฏหมาย,พิมพ์ครั้งที่๕ (กรุงเทพ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550) หน้า ๑๗๖-๑๙๕
- [2]ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๑๖๔ และ มาตรา๑๖๕ (๓)
- [3]พระยาเทพวิทูร,คำอธิบายประมวลกฏหมายแพ่งเเละพาณิชย์ บรรพ๑-๒ มาตรา ๑-๒๔๐ (กรุงเทพฯ:เนติบัญฑิตยสภา, ๒๕๐๙), หน้า๒๒-๒๔
- [4] ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช, ลิชสิทธิของผู้เเต่งหนังสือ, (กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร, ๒๕๑๑), หน้า๒๐-๒๑
- [5] เรื่องบทนิยาม, ๕๐ปี ราบัณฑิตยสถาน,กรุงเทพฯ: (กรุงสยามการพิมพ์,๒๕๒๗), หน้า ๓๗-๓๙
- [6] ศาสตราจารย์พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ ”กฏหมายอาญาพิศดาร พ.ศ.๒๔๘๙” อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพพระยาอะะถการีย์นิพนย์,(กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี,๒๕๒๑), หน้า๑๑๓
- [7] ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา๒ วรรคหนึ่ง
- [8] ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา๓ วรรคหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น